Theory U กับวิกฤตการณ์และสารพันปัญหา
- kunpol
- Sep 13, 2018
- 1 min read
Updated: Apr 26, 2019
เมื่อพูดถึงการเดินทางในทุกๆ ช่วงเวลา เราต่างพบกับความหลากหลายของผู้คน ทั้งในด้านมุมมอง ความเชื่อ ค่านิยม ความต้องการ และทัศนคติ เราพบความสำเร็จ ความผิดหวัง ความสุข ความทุกข์ และความแปลกใหม่ในสถานที่ๆ ไม่เคยไป หรือแม้กระทั่งความแปลกใหม่ในสถานที่เดิมๆ ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเคยสงสัยหรือไม่ว่า ในเดือนเดียวกัน วันเวลาเดียวกัน แตกต่างกันแค่ปี ทำไมอุณหภูมิอากาศถึงสูงขึ้นมากขนาดนี้ ทำไมสวนสาธารณะที่เดินผ่านตอนเด็กๆ ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับชุมชนละแวกนั้นเป็นอย่างมาก ทำไมคนทำถนนถึงไม่ให้ความสำคัญกับทางเดินเท้าสำหรับผู้บกพร่องทางร่างกายมากนัก ทำไมเด็กในพื้นที่ห่างไกลถึงไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่ดีได้ ทำไมผู้ปกครองถึงไม่สนับสนุนให้ลูกๆ ของพวกเขาได้เดินตามความฝันของตัวเอง ทำไมนายไม่เคยรับฟังสิ่งที่ลูกน้องพยายามจะสื่อสารเลย นานวันเข้าเขาเริ่มหมดความมั่นใจจึงตัดสินใจลาออกจากงานไป ทั้งที่เขามีความสามารถมาก ทำไมและทำไมอีกมากมาย ซึ่งนับเป็นสารพันปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แม้ว่าทุกวันนี้เรามีกลุ่มนักสร้างการแปลี่ยนแปลงหรือผู้ที่ต้องการขับไล่ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ให้หมดไปอย่างมากมาย แต่ต้องอย่าลืมว่าหากพิจารณาดีๆ มีคนอยู่สองกลุ่มใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญของโลก ซึ่งนั่นคือนักธุรกิจและบุคลากรทางการแพทย์ นักธุรกิจคือกลุ่มคนที่มีพันธสัญญาว่าเราหรือองค์กรของเราจะช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร โดยการเสนอขายคุณค่าต่างๆ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ก็พยายามศึกษาว่าเราจะทำอย่างไรให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตได้อย่างยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงที่สุด ดังนั้นถ้าพวกเขาประกาศอะไรออกไป มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับสังคมอย่างชัดเจน (ส่วนเรื่องของการปกครองขอยกไว้เป็นอีกกรณีหนึ่ง)
อย่างไรก็ตามแม้จะมีอำนาจมากแค่ไหน แต่การเปลี่ยนแปลงในแต่ละระดับล้วนมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านต่างๆ ที่แตกต่างกัน ความสำคัญจึงไ่ม่ได้อยู่แค่ว่าเราต้องรอให้คนกลุ่มนี้ขยับขับเคลื่อน ไม่เพียงพอ แต่เราต้องการความร่วมมือจากทุกๆ ภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่พร้อมรับผิดชอบ แสดงความกล้าหาญ และกำหนดอนาคตร่วมกัน
Otto Scharmer พูดเกี่ยวกับความท้าทายเหล่านี้ไว้ใน Theory U ได้น่าสนใจมาก ว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวผู้นำ องค์กร หรือประเทศที่มีความขัดแย้งเท่านั้น แต่มันคือการแบ่งแยกที่ขาดการเชื่อมต่อกัน ซึ่งเกิดขึ้นทั่วทุกประเทศและเป็นต้นเหตุของเกิดวิฤตการณ์ต่างๆ ตามมาในภายหลัง ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้

1. Self # Self หมายถึง เราตัดขาดจากการเข้าถึงตัวเราเอง ทุกช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงมีบางสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่และมีบางสิ่งที่เลือนหายไป การที่เราปิดกั้นไม่เปิดรับข้อมูลใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ ไม่ตระหนักรู้เท่าทันตัวเอง หรือไม่ปรับตัวไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ทำให้เราถูกตัดขาดจากการเรียนรู้และการเติบโตภายใน จนนำมาสู่กระทำในรูปแบบที่เราเคยชินอันเป็นผลที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ดังคำพูดของ Albert Einstein ที่ว่า “ปัญหาที่รุมเล่าเราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ไม่สร้างสามารถแก้ไขได้ด้วยคำตอบ วิธีคิด รูปแบบ และต้นแบบจากศวรรษที่ 20” และ Peter Drucker “สิ่งที่อันตรายที่สุดในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย ไม่ใช่ความวุ่นวาย แต่เป็นกระทำที่อาศัยอยู่บนพื้นฐานของวิธีคิดในวันวาน”
2. Self # Other หมายถึง เราตัดขาดจากการเข้าถึงคนอื่นๆ เราทุกคนล้วนมีความแตกต่างกันในด้านของความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ และความต้องการ ที่ก่อเกิดขึ้นตามสภาพแวดล้อมต่างๆ ด้วยเหตุนี้การที่เราเชื่อว่าทุกคนต้องเป็นเหมือนกันนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นคนที่มีความสามารถมาก ประสบความสำเร็จมาอย่างโชกโชนในการพัฒนาเมือง ผู้มีอำนาจจึงเล็งเห็นว่าเราเหมาะสมที่สุดที่ควรจะได้รับโอกาสไปพัฒนาชุมชนในชนบทสักแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากความเจริญ แต่ในทางตรงกันข้ามคนชนบทกลับมีความเชื่อว่าการอุนรักษ์สิ่งปลูกสร้างเก่าๆ ไว้นั้นคือการรักษาความดีงามของบรรพบุรษ สุดท้ายอาจส่งผลให้ความปรารถนาดีของเรากลายเป็นการสร้างความขัดแย้งในระดับชุมชนก็เป็นได้ หากไม่พยายามรับรู้ข้อมูลจากผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นมากพอ เพื่อหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เหมาะสมร่วมกัน
3. Self # Nature หมายถึง เราตัดขาดจากการเข้าถึงธรรมขาติ ในที่นี้จะขออนุญาตใช้คำว่า “The Creators” หรือ “ผู้สร้าง” ผู้สร้างคือสิ่งที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น ตรงกันข้ามกลับทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้สามารถดำรงอยู่ได้ เช่น พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ อากาศ ดิน น้ำ ต้นไม้ ดวงดาว ฯลฯ ซึ่งนั่นคือทรัพยากรที่เกื้อหนุนและหมุนเวียนอย่างเป็นระบบเพื่อล่อเลี้ยงให้เราเกิดความสมดุล เราลองกลับมานึกย้อนดูว่า ถ้าไม่มีพระอาทิตย์เราจะอยู่กันอย่างไร อาจจะมีสิ่งมีชีวิตบางประเภทที่ดำรงอยู่ได้ บางประเภทอาจจะสูญหายไป และถ้าไม่มีอากาศเราจะอยู่กันอย่างไร หรืออากาศไม่บริสุทธิ์เราจะอยู่กันอย่างไร เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ความมหัศจรรย์ก็ไม่ได้มีให้ใช้สอยอย่างล้นเหลือและมีขีดจำกัดในแง่ของเงื่อนไขต่างๆ ฉะนั้นการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของ “ผู้สร้าง” และร่วมกันสร้างผลลัพธ์ใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้
Commentaires